รายวิชาพระพุทธศาสนา ม.5 เรื่องที่ ๒ พุทธประวัติ
สรุปการตรัสรู้
พระสิทธัตถะ
ได้เสด็จอยู่ตามลำพังทรงฝึกฝนอบรมจิตให้สงบ และในเช้ากลางเดือน 6 ทรงรับข้าว “มธุปายาส” จากนางสุชาดา
ซึ่งเข้าใจว่าพระองค์ว่าเป็นเทพยดาจึงนำข้าวมธุปายาสไปถวาย
หลังจากเสวยแล้วพระองค์ได้ทรงลอยถาดในแม่น้ำ
เนรัญชรา
ทรงรับหญ้าคา 8 กำ จากนายโสตถิยะมาปูลาดเป็นอาสนะ (ที่นั่ง) ณ โคนต้นโพธิ์
ประทับนั่งขัดสมาธิผินพระพักตร์
ไปทางทิศตะวันออก
แล้วทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า
ถ้าไม่สำเร็จทางพ้นทุกข์จะไม่ยอมเสด็จลุกไปไหนถึงแม้เนื้อและเลือด
จะเหือดแห้งก็ตาม
ทรงพิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติทั้งหลายจนเกิดญาณ (การหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง)
สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้เรียกว่า อริยสัจ (ความจริงอันประเสริฐ) พระสิทธัตถะ
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อย่ำรุ่งของคืนวันเพ็ญเดือน
6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
วิเคราะห์การตรัสรู้และการก่อตั้งพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และคำสั่งสอนนี้ ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง
ก็คือเรื่องของความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เป็นแต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ แล้วนำมาชี้แจงเปิดเผย
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าสภาพธรรม หรือทำนองคลองธรรม เป็นของมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นหรือไม่
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมนั้น ๆ
แล้วนำมาบอกเล่าให้เข้าใจชัดขึ้นความจริงหรือสัจธรรมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาตินี้จึงเป็นของกลางสำหรับทุกคน
และมิใช่สิ่งที่ประดิษฐ์หรือคิดขึ้นตามอารมณ์เพ้อฝัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ความจริงในลักษณะ
3 อย่าง คือ รู้ตัวความจริง รู้หน้าที่อันควรทำเกี่ยวกับความจริงนั้น
และรู้ว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว
ตราบนั้นพระองค์ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าตรัสรู้แล้ว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความจริงนั้นพระองค์ได้ทรงลงมือปฏิบัติจน
ค้นพบประจักษ์แล้ว
พระองค์จึงได้นำมาสั่งสอน
สัจธรรมหรือความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น
ได้แก่ ทรงรู้แจ้งหรือรู้อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 อย่าง ได้แก่ ทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
1)
ทุกข์ คือความทุกข์,
สภาพที่ทนได้ยาก, สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง
บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้
ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง
ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ความปรารถนาไม่สมหวัง หรือปัญหาของชีวิตทั้งหมด
2)
สมุทัย คือสาเหตุของทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 หรือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา
หรือสาเหตุของ
ปัญหาชีวิต
3)
นิโรธ คือความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป
ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา หมดสิ้นตัณหาแล้ว
ไม่ติดข้อง
หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ คือนิพพาน หรือภาวะหมดปัญหา
4)
มรรค คือทางดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชฌิมปฏิปทา แปลว่า
ทางสายกลาง คือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ
ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ ตั้งจิตชอบ
หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิต
"พุทธกิจประจำวัน 5
ประการและพุทธจริยา 3 ประการ"
งานการสอนธรรม เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า
เป็นงานที่ละเอียดประณีต เพราะทรงมุ่งให้เป็นธรรมที่เกื้อกูลแก่คนทั้งปวงและอำนงยผลให้เป็นความสุข
พระพุทธเจ้า จึงทรงมีกิจหลักที่เรียกว่าพุทธกิจ ในแต่ละวันทรงมีพุทธกิจหลัก 5 ประการ เพื่อบำเพ็ญพุทธจริยา 3 ประการ เพื่อบำเพ็ญพุทธจริยา 3 ประการ
ของพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์ คือ
พุทธจริยาประการที่หนึ่ง โลกัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก
ในฐานะที่พระองค์เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคมโลก
ความสำเร็จในจริยาข้อนี้ทรงอาศัยพุทธกิจประจำวัน 5 ประการคือ
พุทธกิจประการที่
1 เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต
เพื่อเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ต้องการบุญ
พุทธกิจประการที่
2 ในเวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนผู้สนใจในการฟังธรรม
พุทธกิจประการที่
3 ในเวลาค้ำทรงประทานพระโอวาทให้กรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย
พุทธกิจประการที่
4 ในเวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรม และตอบปัญหาแก่เทวดาทั้งหลาย
พุทธกิจประการที่
5 ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะรู้ธรรมซึ่งประองค์ทรงแสดง
แล้วได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของคนเหล่านั้น
พุทธกิจประการที่
๕ นี้เอง เป็นจุดเด่นในการทำงานของพระพุทธเจ้า จนทำให้ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา
บางคนมีความรู้สึกว่าทำไมคนแต่ก่อนสำเร็จกันง่ายเหลือเกิน
ถ้าศึกษารายละเอียดแล้วจะพบว่าไม่มีคำว่าง่ายเลย
เพราะนอกจากจะอาศัยวาสนาบารมีของคนเหล่านั้นเป็นฐานอย่างสำคัญแล้ว
การแสดงธรรมของพระองค์นั้น เป็นระบบการทำงานที่มีการศึกษาข้อมูล การประเมินผล
การสรุปผลในการแสดงธรรมทุกคราว
หลังจากที่บุคคลนั้น
ๆ ปรากฏในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้าคือทรงรู้ว่าเขาเป็นใคร ? มีอุปนิสัยบารมีอย่างไร
? แสดงธรรมอะไรจึงได้ผล ? หลังจากแสดงธรรมแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร
? ดังนั้นการแสดงธรรมทุกครั้งของพระพุทธองค์ จึงบังเกิดผล
เป็นอัศจรรย์เพราะจะทรงแสดงเฉพาะแก่ผู้เป็นพุทธเวไนย
คือสามารถแนะนำให้รู้ได้เป็นหลัก
พุทธจริยาประการที่สอง ญาตัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ
เช่นการทรงมีพระพุทธานุญาตพิเศษ ให้พรญาติของพระองค์ ที่เป็นเดียรถีย์
(นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา) มาก่อน ให้เข้าบวชในพรุพุทธศาสนาได้
โดยไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาสก่อน (ติตถิยปริวาส คือ วิธีอยู่กรรมสำหรับเดียรถีย์ที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา
จะต้องประพฤติปริวาส (การอยู่ชดใช้หรืออยู่กรรม) ก่อน ๔ เดือน
หรือจนกว่าพระสงฆ์พอใจจึงจะอุปสมาบทได้)
หรือการที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
ทรงแนะนำให้พระญาติซึ่งกำลังจะทำสงครามกันได้เข้าใจในเหตุผล สามารถปรองดองกันได้
พุทธจริยาประการที่
๓ พุทธัตถจริยา ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
เช่น ทรงวางสิกขาบทเป็นพุทธอาณา
สำหรับควบคุมความประพฤติของผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ทรงแนะนำให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของตน
ทรงวางพระองค์ต่อผู้ที่เข้ามาบวชและแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา ในฐานะของบิดากับบุตร
ผู้ปกครองกัลยาณมิตร ศาสดาผู้เอ็นดูเป็นต้น ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสนั้น ๆ
จนสามารถประดิษฐานเป็นรูปสถาบันศาสนาสืบต่อกันมาได้
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
วิธีสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้รับยกย่องว่า ทรงเป็น “ พระบรมครู ”
หรือ “ ศาสดาเอก
” ในโลกเพราะพระองค์ทรงมีวิธีสอนที่ดีเยี่ยม
ทำให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง มีคำกล่าวว่า
ถ้าพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดใคร เขาผู้นั้นย่อมได้บรรลุมรรคผลไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ในที่นี้กล่าวถึง หลักการสอน
วิธีสอนธรรม และเทคนิควิธีสอนธรรมของพระพุทธองค์โดยสังเขป
1. หลักการสอน หมายถึง หลักการสอนทั่วไป มีอยู่ 4 ประการ ดงนี้
1.1 แจ่มแจ้ง อธิบายแจ่มแจ้งดุจนำมาวางให้ตรงหน้า
1.2 จูงใจ พูดจูงใจอยากปฏิบัติตามที่สอน
1.3 หาญกล้า ทำให้ผู้ฟังเกิดความกล้าหาญ มั่นใจที่จะปฏิบัติตาม
1.4 ร่าเริง ให้ผู้ฟังเกิดฉันทะในการฟัง สนุกสนานไปกับการสอน
ไม่เบื่อ
2. วิธีสอน วิธีสอนของพระพุทธเจ้ามี 4 แบบ ดังนี้
2.1 แบบบรรยาย การสอนแบบนี้นี้ทรงใช้เสมอ
ส่วนมากจะเป็นบรรยากาศที่มีผู้ฟังจำนวนมาก เช่น ที่วัพระเชตวันมหาวิหาร พระองค์จะเสด็จลงแสดงธรรมเทศนาในช่วงบ่ายของทุกวัน
เมื่อครั้งแสดงธรรมครั้งแรกคือโปรดปัญจวัคคีย์ทรงใช้วิธีบรรยายตั้งแต่ต้นจนจบ
2.2 แบบสนทนา แบบนี้ทรงใช้บ่อยมาก อาจเพราะผู้ฟังมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น
ทำให้การเรียนการสอน
2.3
แบบตอบปัญหา แบ่งย่อยออกเป็น 4
อย่าง ดังนี้
( 1 ) ตอบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
ไม่มีเงื่อนไข เช่นถ้าถามว่า ทางพ้นทุกข์คืออะไร ตอบทันที่เลยว่าทางพ้นทุกข์คืออริยสัจสี่
( 2 ) ย้อนถามก่อนแล้วค่อยตอบ ปัญหาบางอย่างจะตอบทันทีไม่ได้ ต้องย้อนถามเพื่อความแน่ใจก่อนแล้วค่อยตอบ เช่นถามว่า
คนเราทำกรรมแล้ว
ตายไปเกิดชาติหน้าจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์
ต้องย้อนถามว่า ที่ทำกรรมนั้น ทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าทำกรรมดีย่อมขึ้นสวรรค์ ถ้าทำกรรมชั่วย่อมตกนรก ดังนี้เป็นต้น
( 3 ) แยกประเด็นตอบ บางครั้งก็แยกตอบเป็นเรื่องๆ เป็นประเด็นๆไป ยกตัวอย่าง
มีผู้ถามพระพุทธองค์ว่า
พระองค์ตำหนิตบะ ( ความเข้มงวด )ทุกอย่างหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงแยกแยะประเด็นตอบว่า
ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบทรมานตัวเองให้ลำบากต่างๆนานา พระพุทธองค์ทรงตำหนิ แต่ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบธุดงควัตรพระองค์ทรงสรรเสริญ
( 4 ) แบบตัดประเด็นหรือไม่ตอบ มีปัญหาบางอย่างที่พระองค์ไม่ทรงตอบเรียกว่า “ อัพยากตปัญหา ” เช่น
ถามว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง
โลกมีที่สุดหรือไม่
พระอรหันต์ตายไปแล้วยังคงอยู่หรือไม่
เหตุผลที่ไม่ทรงตอบ เพราะว่า แม้จะรู้หรือไม่รู้
ก็ไม่ทำให้ทุกข์ที่มีอยู่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
ในบางกรณีที่ผู้ถามต้องการให้ทรงขัดแย้งกับคนอื่น พระองค์ไม่ทรงตอบ เช่น ชาวกาลามะ แห่งหมู่บ้านเกสปุตตนิคม
เล่าว่ามีเจ้าลัทธิต่างๆที่ผ่านมาต่างก็ดูถูกลัทธิของคนอื่นว่าผิด
ของตนถูกต้อง แล้วทูลถามพระองค์ว่า พวกไหนสอนถูก
พวกไหนสอนผิด พระองค์ตรัสว่า ใครจะสอนถูกสอนผิดช่างเถิด เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง
3. เทคนิควิธีสอน พระพุทธเจ้าทรงใช้เทคนิคการสอนหลากหลาย คือ
3.1
ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือ “ ทรงทำของยากให้ง่าย ” ธรรมะเป็นนามธรรมละเอียดอ่อนเข้าใจยาก
พระองค์ทรงมีเทคนิควิธีทำให้ง่ายขึ้น
ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
( 1 ) ใช้อุปมาอุปไมย บางเรื่องที่พึงรู้ได้ด้วยอุปมาอุปไมย พระองค์ทรงใช้
เช่น ตรัสบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า
ธรรมะที่ทรงตรัสรู้นั้นมีมากดุจใบไม้ในป่า
แต่ทรงนำมานิดเดียวเฉพาะที่จำเป็นจะต้องรู้ ดุจใบไม้ในกำมือดังนี้ เป็นต้น
( 2 ) ยกนิทานประกอบ ทรงยกนิทานชาดก (
เรื่องราวของพระองค์เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
บำเพ็ญบารมีในชาติก่อนๆ ) เช่น
พระเวสสันดรชาดก หรือทรงนำนิทานพื้นบ้านโบราณมาเล่าให้ฟัง ดังเรื่อง
ตาบอดคลำช้างแปดคนต่างคนต่างคลำแต่ละส่วนของช้าง แล้วเข้าใจว่าตนรู้จักช้างดี จึงทะเลาะทุบตีกัน แล้วสรุปว่า “ คนที่รู้เห็นเพียงบางแง่มุมมักจะทะเลาะทุ่มเถียงกันเพราะทิฐิ
( ความเห็น )”
( 3 ) ใช้สื่อการสอน
พระพุทธองค์ทรงใช้สื่อการสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น
ดังทรงสอนสามเณรราหุลเรื่องโทษของการพูดเท็จทั้งที่รู้ โดยทรงใช้ขันตักน้ำเทลงทีละนิดจนหมดขันแล้วคว่ำขันลง แล้วทรงยกขันเปล่าขึ้น ตรัสสอนว่า
คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้ย่อมเทความดีงามออกทีละนิดจนหมดไปในที่สุด
อีกครั้งหนึ่งทรงใช้แว่นส่องหน้าเป็นสื่อในการสอนเรื่อง สติสัมปชัญญะ
แว่นมีไว้ส่องดูใบหน้าฉันใด
สติสัมปชัญญะก็มีไว้กำกับตนเพื่อส่องดูเรื่องที่คิด การที่ทำและคำที่พูดฉันนั้น
3.2
ทำตนให้เป็นตัวอย่าง ในแง่การสอนอาจแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
( 1 ) สาธิตให้ดูหรือทำให้ดู
ดังเมื่อครั้งพระองค์ทรงสั่งให้พระอานนท์ผสมน้ำอุ่น
แล้วทรงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคพุพอง มีหนองไหลเยิ้ม ไม่มีเพื่อนภิกษุดูแล ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วตรัสสอนว่า “ พวกเธอมาบวชในศาสนาของตถาคต ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เมื่อพวกเธอไม่ดูแลกันเองในยามป่วยไข้ แล้วใครจะดูแล ”
( 2 ) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง
พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่างที่ดี จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นพระบรมครู
เป็นศาสดาเอกในโลก
3.3 ทรงเลือกใช้คำให้เหมาะสม คำศัพท์ที่คนสมัยนั้นใช้อยู่แล้ว เช่น
คำว่า พราหมณ์ ภิกษุ เทพ เป็นต้น พระองค์ทรงนำเอามาใช้สอนธรรม แต่ให้ความหมายใหม่
วิธีนี้ทำให้ผู้ฟังให้ความสนใจและเข้าใจได้ง่ายเพราะได้เทียบเคียงกับความหมายเดิม
ครั้งหนึ่งพราหมณ์คนหนึ่งมาชวนให้พระพุทธเจ้าไปอาบน้ำ
อ้างว่าอาบน้ำในท่าศักดิ์สิทธิ์แล้วจะหมดบาปได้ขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงแย้งว่า
ถ้าความบริสุทธิ์มีได้ด้วยน้ำมนุษย์ก็บริสุทธิ์สู้กุ้ง หอย
ปู ปลาไม่ได้ เพราะสัตว์เหล่านั้นอาบน้ำอยู่ตลอดเวลา ครั้นพราหมณ์ถามว่า พระองค์ไม่สรรเสริญการอาบน้ำหรือ พระองค์ตอบว่า สรรเสริญ แล้วทรงให้ความหมายของการอาบน้ำใหม่ว่า เป็นการอาบกาย
วาจา ใจ ด้วยศีล
สมาธิ ปัญญา3.5 ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควิธี
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ พระพุทธเจ้าตรัสกับคนฝึกม้าชื่อเกสี
ว่าพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีฝึกสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่เกสีฝึกม้า คือ บางครั้งก็ทรงใช้วิธีนุ่มนวล บางครั้งเข้มงวด
บางครั้งผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี ถ้าไม่สำเร็จ
พระองค์ก็ทรง “ ฆ่าทิ้ง ” ดุจนายเกสีฆ่าม้าที่ฝึกไม่ได้ แต่การฆ่าของพระองค์
หมายถึง ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน
หรือ “ คว่ำบาตร ” ให้ผู้นั้นสำนึกตนในภายหลัง
3.4 รู้จังหวะและโอกาส
คือ รอให้ผู้ฟังมีความพร้อมเสียก่อนแล้วค่อยสอน ดังกรณีเด็กหนุ่มชื่อ วักกลิมาบวชเพราะติดใจในความงามแห่งพระวรกายของพระพุทธองค์
ไม่สนใจปฏิบัติธรรม ได้แต่คอยเฝ้ามองพระพุทธองค์ด้วยความชื่นชม
พระองค์ทรงรอให้เธอมีความพร้อมเสียก่อนแล้วตรัสเตือนสติประทานโอวาท
จนสำเร็จพระอรหันตผลในที่สุด
3.5 ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควิธี
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ พระพุทธเจ้าตรัสกับคนฝึกม้าชื่อเกสี
ว่าพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีฝึกสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่เกสีฝึกม้า คือ บางครั้งก็ทรงใช้วิธีนุ่มนวล บางครั้งเข้มงวด
บางครั้งผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี ถ้าไม่สำเร็จ
พระองค์ก็ทรง “ ฆ่าทิ้ง ” ดุจนายเกสีฆ่าม้าที่ฝึกไม่ได้ แต่การฆ่าของพระองค์
หมายถึง ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน
หรือ “ คว่ำบาตร ” ให้ผู้นั้นสำนึกตนในภายหลัง
3.6 เสริมแรง
เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งการสั่งสอน การเสริมแรงเป็นสิ่งจำเป็น
การตรัสชมเชยพระสาวกของพระสาวกบางรูปให้สงฆ์ฟัง เป็นการเสริมแรงให้ท่านผู้นั้นมีฉันทะในการปฏิบัติธรรมสูงขึ้นตามลำดับ
แม้การทรงตั้งตำแหน่ง “ เอตทัคคะ ”( ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น )
ให้แก่พระสาวกที่มีความถนัดและความสามารถพิเศษเฉพาะด้านก็นับเป็นการเสริมแรงเช่นเดียวกัน
"พุทธกิจประจำวัน 5
ประการและพุทธจริยา 3 ประการ"
งานการสอนธรรม เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า
เป็นงานที่ละเอียดประณีต เพราะทรงมุ่งให้เป็นธรรมที่เกื้อกูลแก่คนทั้งปวงและอำนงยผลให้เป็นความสุข
พระพุทธเจ้า จึงทรงมีกิจหลักที่เรียกว่าพุทธกิจ ในแต่ละวันทรงมีพุทธกิจหลัก 5 ประการ เพื่อบำเพ็ญพุทธจริยา 3 ประการ เพื่อบำเพ็ญพุทธจริยา 3 ประการ
ของพระพุทธเจ้าให้สมบูรณ์ คือ
พุทธจริยาประการที่หนึ่ง โลกัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก
ในฐานะที่พระองค์เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคมโลก
ความสำเร็จในจริยาข้อนี้ทรงอาศัยพุทธกิจประจำวัน 5 ประการคือ
พุทธกิจประการที่
1 เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต
เพื่อเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ต้องการบุญ
พุทธกิจประการที่
2 ในเวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่คนผู้สนใจในการฟังธรรม
พุทธกิจประการที่
3 ในเวลาค้ำทรงประทานพระโอวาทให้กรรมฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย
พุทธกิจประการที่
4 ในเวลาเที่ยงคืน ทรงแสดงธรรม และตอบปัญหาแก่เทวดาทั้งหลาย
พุทธกิจประการที่
5 ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะรู้ธรรมซึ่งประองค์ทรงแสดง
แล้วได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของคนเหล่านั้น
พุทธกิจประการที่
๕ นี้เอง เป็นจุดเด่นในการทำงานของพระพุทธเจ้า จนทำให้ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา
บางคนมีความรู้สึกว่าทำไมคนแต่ก่อนสำเร็จกันง่ายเหลือเกิน
ถ้าศึกษารายละเอียดแล้วจะพบว่าไม่มีคำว่าง่ายเลย
เพราะนอกจากจะอาศัยวาสนาบารมีของคนเหล่านั้นเป็นฐานอย่างสำคัญแล้ว
การแสดงธรรมของพระองค์นั้น เป็นระบบการทำงานที่มีการศึกษาข้อมูล การประเมินผล
การสรุปผลในการแสดงธรรมทุกคราว
หลังจากที่บุคคลนั้น
ๆ ปรากฏในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้าคือทรงรู้ว่าเขาเป็นใคร ? มีอุปนิสัยบารมีอย่างไร
? แสดงธรรมอะไรจึงได้ผล ? หลังจากแสดงธรรมแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร
? ดังนั้นการแสดงธรรมทุกครั้งของพระพุทธองค์ จึงบังเกิดผล
เป็นอัศจรรย์เพราะจะทรงแสดงเฉพาะแก่ผู้เป็นพุทธเวไนย
คือสามารถแนะนำให้รู้ได้เป็นหลัก
พุทธจริยาประการที่สอง ญาตัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ
เช่นการทรงมีพระพุทธานุญาตพิเศษ ให้พรญาติของพระองค์ ที่เป็นเดียรถีย์
(นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา) มาก่อน ให้เข้าบวชในพรุพุทธศาสนาได้
โดยไม่ต้องอยู่ติตถิยปริวาสก่อน (ติตถิยปริวาส คือ วิธีอยู่กรรมสำหรับเดียรถีย์ที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา
จะต้องประพฤติปริวาส (การอยู่ชดใช้หรืออยู่กรรม) ก่อน ๔ เดือน
หรือจนกว่าพระสงฆ์พอใจจึงจะอุปสมาบทได้)
หรือการที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
ทรงแนะนำให้พระญาติซึ่งกำลังจะทำสงครามกันได้เข้าใจในเหตุผล สามารถปรองดองกันได้
พุทธจริยาประการที่
๓ พุทธัตถจริยา ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า
เช่น ทรงวางสิกขาบทเป็นพุทธอาณา
สำหรับควบคุมความประพฤติของผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ทรงแนะนำให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของตน
ทรงวางพระองค์ต่อผู้ที่เข้ามาบวชและแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา ในฐานะของบิดากับบุตร
ผู้ปกครองกัลยาณมิตร ศาสดาผู้เอ็นดูเป็นต้น ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสนั้น ๆ
จนสามารถประดิษฐานเป็นรูปสถาบันศาสนาสืบต่อกันมาได้
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
วิธีสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้รับยกย่องว่า ทรงเป็น “ พระบรมครู ”
หรือ “ ศาสดาเอก
” ในโลกเพราะพระองค์ทรงมีวิธีสอนที่ดีเยี่ยม
ทำให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง มีคำกล่าวว่า
ถ้าพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดใคร เขาผู้นั้นย่อมได้บรรลุมรรคผลไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ในที่นี้กล่าวถึง หลักการสอน
วิธีสอนธรรม และเทคนิควิธีสอนธรรมของพระพุทธองค์โดยสังเขป
1. หลักการสอน หมายถึง หลักการสอนทั่วไป มีอยู่ 4 ประการ ดงนี้
1.1 แจ่มแจ้ง อธิบายแจ่มแจ้งดุจนำมาวางให้ตรงหน้า
1.2 จูงใจ พูดจูงใจอยากปฏิบัติตามที่สอน
1.3 หาญกล้า ทำให้ผู้ฟังเกิดความกล้าหาญ มั่นใจที่จะปฏิบัติตาม
1.4 ร่าเริง ให้ผู้ฟังเกิดฉันทะในการฟัง สนุกสนานไปกับการสอน
ไม่เบื่อ
2. วิธีสอน วิธีสอนของพระพุทธเจ้ามี 4 แบบ ดังนี้
2.1 แบบบรรยาย การสอนแบบนี้นี้ทรงใช้เสมอ
ส่วนมากจะเป็นบรรยากาศที่มีผู้ฟังจำนวนมาก เช่น ที่วัพระเชตวันมหาวิหาร พระองค์จะเสด็จลงแสดงธรรมเทศนาในช่วงบ่ายของทุกวัน
เมื่อครั้งแสดงธรรมครั้งแรกคือโปรดปัญจวัคคีย์ทรงใช้วิธีบรรยายตั้งแต่ต้นจนจบ
2.2 แบบสนทนา แบบนี้ทรงใช้บ่อยมาก อาจเพราะผู้ฟังมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น
ทำให้การเรียนการสอน
2.3
แบบตอบปัญหา แบ่งย่อยออกเป็น 4
อย่าง ดังนี้
( 1 ) ตอบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
ไม่มีเงื่อนไข เช่นถ้าถามว่า ทางพ้นทุกข์คืออะไร ตอบทันที่เลยว่าทางพ้นทุกข์คืออริยสัจสี่
( 2 ) ย้อนถามก่อนแล้วค่อยตอบ ปัญหาบางอย่างจะตอบทันทีไม่ได้ ต้องย้อนถามเพื่อความแน่ใจก่อนแล้วค่อยตอบ เช่นถามว่า
คนเราทำกรรมแล้ว
ตายไปเกิดชาติหน้าจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์
ต้องย้อนถามว่า ที่ทำกรรมนั้น ทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าทำกรรมดีย่อมขึ้นสวรรค์ ถ้าทำกรรมชั่วย่อมตกนรก ดังนี้เป็นต้น
( 3 ) แยกประเด็นตอบ บางครั้งก็แยกตอบเป็นเรื่องๆ เป็นประเด็นๆไป ยกตัวอย่าง
มีผู้ถามพระพุทธองค์ว่า
พระองค์ตำหนิตบะ ( ความเข้มงวด )ทุกอย่างหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงแยกแยะประเด็นตอบว่า
ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบทรมานตัวเองให้ลำบากต่างๆนานา พระพุทธองค์ทรงตำหนิ แต่ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบธุดงควัตรพระองค์ทรงสรรเสริญ
( 4 ) แบบตัดประเด็นหรือไม่ตอบ มีปัญหาบางอย่างที่พระองค์ไม่ทรงตอบเรียกว่า “ อัพยากตปัญหา ” เช่น
ถามว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง
โลกมีที่สุดหรือไม่
พระอรหันต์ตายไปแล้วยังคงอยู่หรือไม่
เหตุผลที่ไม่ทรงตอบ เพราะว่า แม้จะรู้หรือไม่รู้
ก็ไม่ทำให้ทุกข์ที่มีอยู่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
ในบางกรณีที่ผู้ถามต้องการให้ทรงขัดแย้งกับคนอื่น พระองค์ไม่ทรงตอบ เช่น ชาวกาลามะ แห่งหมู่บ้านเกสปุตตนิคม
เล่าว่ามีเจ้าลัทธิต่างๆที่ผ่านมาต่างก็ดูถูกลัทธิของคนอื่นว่าผิด
ของตนถูกต้อง แล้วทูลถามพระองค์ว่า พวกไหนสอนถูก
พวกไหนสอนผิด พระองค์ตรัสว่า ใครจะสอนถูกสอนผิดช่างเถิด เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง
3. เทคนิควิธีสอน พระพุทธเจ้าทรงใช้เทคนิคการสอนหลากหลาย คือ
3.1
ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หรือ “ ทรงทำของยากให้ง่าย ” ธรรมะเป็นนามธรรมละเอียดอ่อนเข้าใจยาก
พระองค์ทรงมีเทคนิควิธีทำให้ง่ายขึ้น
ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
( 1 ) ใช้อุปมาอุปไมย บางเรื่องที่พึงรู้ได้ด้วยอุปมาอุปไมย พระองค์ทรงใช้
เช่น ตรัสบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า
ธรรมะที่ทรงตรัสรู้นั้นมีมากดุจใบไม้ในป่า
แต่ทรงนำมานิดเดียวเฉพาะที่จำเป็นจะต้องรู้ ดุจใบไม้ในกำมือดังนี้ เป็นต้น
( 2 ) ยกนิทานประกอบ ทรงยกนิทานชาดก (
เรื่องราวของพระองค์เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์
บำเพ็ญบารมีในชาติก่อนๆ ) เช่น
พระเวสสันดรชาดก หรือทรงนำนิทานพื้นบ้านโบราณมาเล่าให้ฟัง ดังเรื่อง
ตาบอดคลำช้างแปดคนต่างคนต่างคลำแต่ละส่วนของช้าง แล้วเข้าใจว่าตนรู้จักช้างดี จึงทะเลาะทุบตีกัน แล้วสรุปว่า “ คนที่รู้เห็นเพียงบางแง่มุมมักจะทะเลาะทุ่มเถียงกันเพราะทิฐิ
( ความเห็น )”
( 3 ) ใช้สื่อการสอน
พระพุทธองค์ทรงใช้สื่อการสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น
ดังทรงสอนสามเณรราหุลเรื่องโทษของการพูดเท็จทั้งที่รู้ โดยทรงใช้ขันตักน้ำเทลงทีละนิดจนหมดขันแล้วคว่ำขันลง แล้วทรงยกขันเปล่าขึ้น ตรัสสอนว่า
คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้ย่อมเทความดีงามออกทีละนิดจนหมดไปในที่สุด
อีกครั้งหนึ่งทรงใช้แว่นส่องหน้าเป็นสื่อในการสอนเรื่อง สติสัมปชัญญะ
แว่นมีไว้ส่องดูใบหน้าฉันใด
สติสัมปชัญญะก็มีไว้กำกับตนเพื่อส่องดูเรื่องที่คิด การที่ทำและคำที่พูดฉันนั้น
3.2
ทำตนให้เป็นตัวอย่าง ในแง่การสอนอาจแบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ
( 1 ) สาธิตให้ดูหรือทำให้ดู
ดังเมื่อครั้งพระองค์ทรงสั่งให้พระอานนท์ผสมน้ำอุ่น
แล้วทรงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคพุพอง มีหนองไหลเยิ้ม ไม่มีเพื่อนภิกษุดูแล ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วตรัสสอนว่า “ พวกเธอมาบวชในศาสนาของตถาคต ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เมื่อพวกเธอไม่ดูแลกันเองในยามป่วยไข้ แล้วใครจะดูแล ”
( 2 ) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง
พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่างที่ดี จึงได้รับการยกย่องว่า เป็นพระบรมครู
เป็นศาสดาเอกในโลก
3.3 ทรงเลือกใช้คำให้เหมาะสม คำศัพท์ที่คนสมัยนั้นใช้อยู่แล้ว เช่น
คำว่า พราหมณ์ ภิกษุ เทพ เป็นต้น พระองค์ทรงนำเอามาใช้สอนธรรม แต่ให้ความหมายใหม่
วิธีนี้ทำให้ผู้ฟังให้ความสนใจและเข้าใจได้ง่ายเพราะได้เทียบเคียงกับความหมายเดิม
ครั้งหนึ่งพราหมณ์คนหนึ่งมาชวนให้พระพุทธเจ้าไปอาบน้ำ
อ้างว่าอาบน้ำในท่าศักดิ์สิทธิ์แล้วจะหมดบาปได้ขึ้นสวรรค์ พระองค์ทรงแย้งว่า
ถ้าความบริสุทธิ์มีได้ด้วยน้ำมนุษย์ก็บริสุทธิ์สู้กุ้ง หอย
ปู ปลาไม่ได้ เพราะสัตว์เหล่านั้นอาบน้ำอยู่ตลอดเวลา ครั้นพราหมณ์ถามว่า พระองค์ไม่สรรเสริญการอาบน้ำหรือ พระองค์ตอบว่า สรรเสริญ แล้วทรงให้ความหมายของการอาบน้ำใหม่ว่า เป็นการอาบกาย
วาจา ใจ ด้วยศีล
สมาธิ ปัญญา3.5 ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควิธี
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ พระพุทธเจ้าตรัสกับคนฝึกม้าชื่อเกสี
ว่าพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีฝึกสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่เกสีฝึกม้า คือ บางครั้งก็ทรงใช้วิธีนุ่มนวล บางครั้งเข้มงวด
บางครั้งผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี ถ้าไม่สำเร็จ
พระองค์ก็ทรง “ ฆ่าทิ้ง ” ดุจนายเกสีฆ่าม้าที่ฝึกไม่ได้ แต่การฆ่าของพระองค์
หมายถึง ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน
หรือ “ คว่ำบาตร ” ให้ผู้นั้นสำนึกตนในภายหลัง
3.4 รู้จังหวะและโอกาส
คือ รอให้ผู้ฟังมีความพร้อมเสียก่อนแล้วค่อยสอน ดังกรณีเด็กหนุ่มชื่อ วักกลิมาบวชเพราะติดใจในความงามแห่งพระวรกายของพระพุทธองค์
ไม่สนใจปฏิบัติธรรม ได้แต่คอยเฝ้ามองพระพุทธองค์ด้วยความชื่นชม
พระองค์ทรงรอให้เธอมีความพร้อมเสียก่อนแล้วตรัสเตือนสติประทานโอวาท
จนสำเร็จพระอรหันตผลในที่สุด
3.5 ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควิธี
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ พระพุทธเจ้าตรัสกับคนฝึกม้าชื่อเกสี
ว่าพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีฝึกสาวกของพระองค์ เช่นเดียวกับที่เกสีฝึกม้า คือ บางครั้งก็ทรงใช้วิธีนุ่มนวล บางครั้งเข้มงวด
บางครั้งผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี ถ้าไม่สำเร็จ
พระองค์ก็ทรง “ ฆ่าทิ้ง ” ดุจนายเกสีฆ่าม้าที่ฝึกไม่ได้ แต่การฆ่าของพระองค์
หมายถึง ไม่พูดด้วย ไม่ว่ากล่าวตักเตือน
หรือ “ คว่ำบาตร ” ให้ผู้นั้นสำนึกตนในภายหลัง
3.6 เสริมแรง
เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งการสั่งสอน การเสริมแรงเป็นสิ่งจำเป็น
การตรัสชมเชยพระสาวกของพระสาวกบางรูปให้สงฆ์ฟัง เป็นการเสริมแรงให้ท่านผู้นั้นมีฉันทะในการปฏิบัติธรรมสูงขึ้นตามลำดับ
แม้การทรงตั้งตำแหน่ง “ เอตทัคคะ ”( ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น )
ให้แก่พระสาวกที่มีความถนัดและความสามารถพิเศษเฉพาะด้านก็นับเป็นการเสริมแรงเช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น